หน้าเว็บ

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

เที่ยวเขาใหญ่ครับ

https://plus.google.com/113677071626557297243/stories/fc3cc88c-87a9-3251-9f1a-56ce9de9759314860171786?authkey=

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หมกจี่ สูตรอาหารพื้นบ้าน ระยอง

เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวระยอง ที่ไปเจอมานี้คือ ที่บ้านดอน โชคดี มีโอกาศได้เห็นเค้าทำกัน และ

ส่วนผสมที่สำคัญมี พริกแกง เนื้อปลาดุก ผสมด้วยผักพื้นบ้านโรยหน้า ผักประกอบด้วย ยอดใบสัมปะรัง  ยอดฟักทอง หัวปลีหัน นำผักทั้งหมดมานึ้ง ยกเว้นหัวปลี ใช้โรยหน้าสดเลย 

วิธีการทำก็คือ

นำพริกแกงมาผสมกับเนื้อปลาและมะพร้าวขูด ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อเข้ากันดีแล้ว ก็ตักใสใบต้อง โรยหน้าด้วยผักนึ่ง และหัวปลี แล้วห่อ หลังจากนั้นนำไปนึ่ง 

สิ่งสำคัญก็คือวิธีการย่างต้องใช้ ไฟอ่อนๆ สังเกตุที่สีของใบตอง ต้องเหลืองสวย ไห้มแต่พอดี 

นำเนื้อปลามาผสมกับพริกแกงคลุกเคล้ากับเนื้อมะพร้าวขูด ครับ
ผักพื้นบ้านครับ ยอดมันสัมปะหลัง ยอดฟัก ยอดข่า
หัวปลีหั่นครับ ใช้โรยหน้าก่อนห่อ
เสร็จแล้วครับเตรียมย่าง
 
สำคัญครับ เวลาย่างต้องใช้ไฟอ่อนๆ สังเกตุที่สีใบตอง ในภาพถือว่าย่างสวยครับ 
เสร็จแล้วครับกินกับข้าวสวยร้อนๆ

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

ภูทับเบิก มองเห็นฟ้าเพียงดิน

หนาวนี้ ที่ ภูทับเบิก
 หลังจากที่วางจากการทำงาน มาทั้งปีเต็ม ก็ต้องถึงเวลาที่ต้องผักผ่อนกับบ้าง โดยคณะของเราเลือกที่จะไปกางเต้นท์กัน ที่ ภูทับเบิก จังหวัด เพชรบูรณ์ ช่วงที่คณะของเราไปนั้นตรงกับ เดือน มกราคม อากาศที่ ภูทับเบิก กำลังเย็นพอดี













วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ลอยกระทงที่เขาใหญ่

มะเดี่ยว กับ ยามเย็นที่เขาใหญ่

ผมได้มีโอกาศไปเที่ยวที่เขาใหญ่ในวันหยุดช่วงเทศกาล วันลอยกระทง มีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์ ที่เขาใหญ่เต็มพื้นที่ไปหมดค่อนข้างจะเบียดเสียด และตอนนี้ เขาใหญ่กำลังอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว คณะเราได้เลือกจุดกางเต้นท์บริเวณ จุดกางเต้นท์ ลำตะคอง คณะเราเลือกจุดกางเต้นท์ติดกับฝ่ายเก็บน้ำ น้ำในฝ่ายใสมาก มองเห็นปลาตัวเล็กๆว่ายไปมา

จุดกางเต้นท์ ลำตะคอง ริมฝ่าย
ธรรมชาติบริเวณจุดกางเต้นท์ ลำตะคอง ในยามเย็นช่างเป็นช่วงเวลาที่สวยงาม มองดูทิวน้ำที่ถูกลมพัดกระทบกับแสงจากดวงอาทิตย์เป็นปะกายระยิบไหลเป็นคลื่น เป็นระลอกเล็กๆ นั่งมองแล้วเพลินตามากและในระหว่างที่เรากำลังทำ อาหารมื้อค่ำอยู่นั้น
กวางเขาใหญ่มาขอข้าวกิน ที่ข้างจุดกางเต้นท์ ลำตะคอง

ก็มีกวางสองตัวขนาดใหญ่คิดว่าเท่ากับควาย เดินออกจากดงป่าข้างจุดกางเต้นท์ เข้ามาหาคณะเรา และหยุดมองพวกเราทำอาหารกัน ตื่นเต้นมาาก ที่ได้สัมผัสกวางตัวเป็นๆ ในระยะปะชิดสามเมตร ทำให้คณะเราผงะจากการสาระวนทำอาหารเย็น หันมาสนใจกับเจ้ากวางสองตัวนี้แทนและนักท่องเีที่ยวที่กางเต้นท์อยู่บริเวณนั้นต่างก็ตื่นเต้นมามุงดูกันเหมือนมี ละครสัตว์ที่เขาใหญ่กันเลย ทุุกคนในคณะของเราต่างก็วิ่งหากล้ิองมาถ่่ายรูปกัน ซึ่งทั้งคณะก็มีกล้องอยู่แค่ตัวเดียว   "มันคงมาขอข้าวเย็นกินมัง" คณะของเราลงความเห็นกัน และผมสังเกตุเห็น มีกวางอยู่ตัวหนึ่ง ที่คอมันเป็นแผลอักเสบ "ตามภาพ" เห็นแล้วสลดใจมาก ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร
กวางเขาใหญ่ คอเป็นแผล เพราะกินถุงพลาสติก

ด้วยความสงสัย ผมเลยเดินไปถาม ทางเจ้าหน้าที่ ของอุทยานแ่ห่งชาติ เขาใหญ่ จึงได้คำตอบมาว่า กวางที่เห็นนี้ เป็นกวางรับแขก เพราะมันจะมาขออาหารจากนักท่องเที่ยวกินเป็นประจำ ไม่ทำร้ายคน และกวางที่เห็นคอเป็นแผลนั้น เกิดจากที่มันไปกิน ถุงพลาสติค ที่มีนักท่องเที่ยวมักง่ายทิ้งเอาไว้ ทำให้คอมันอักเสบ เลยเกิดเป็นแผล เห็นแล้วน่าสงสาร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดในใจ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
ไก่ป่าย่าง เขาใหญ่ โดยพราน มะเดี่ยว
เมนูพิเศษของค่ำคืนในวันนี้ คือไก่ป่ายางรมควันดำๆ โดย "เชฟ เปิ้ล"  หลังจาก "พรานมะเดี่ยว ผู้ชำนาญการแกะรอยสัตว์ป่า"  เดินเข้าไปในพงหญ้าของอีกฟากจากจุดกางเต้นท์ได้พักใหญ่ ก็เดินกลับออกมาพร้อมกับ ไก่ป่า ตัวเขื่องหนึ่งตัว ก็ได้จัดแจงสั่งให้ เชฟ เปิ้ล ผู้ชำนาญในการ ย่าง ปิ้ง และ รมดำ รมควัน ดำเนินการต่อ และพรานมะเดี่ยวไม่ได้บอกถึงที่มาที่ไปของไก่ป่าตัวนี้ว่าได้มายังงัย ปล่อยให้ทุกคนมึนงงและคิดไปต่างๆนาๆ ถึงฝีมือระดับเทพในการแกะรอยไก่ป่า ของ พราน มะเดี่ยว
พราน มะเดี่ยว

เชฟ เปิ้ล กับอารมณ์ ชิว ชิว ข้างกองไฟ

หลังจัดการกับอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว คณะของเราก็นั่งสัมผัส กับบรรยากาศข้างกองไฟ ที่เขาใหญ่ เต็มไปด้วย ไฟจากตะเกียงสนามของนักท่องเที่ยวที่มากางเต้นท์กันอย่างเรียงราย มีเด็กวัยรุ่นนั่งเล่นกีต้าร์ร้องเพลงกันอย่างมีความสุข ส่วนคู่หนุ่มสาวก็พากันเดินเล่นไปในมุมมืดข้างฝ่ายน้ำ บางคนก็มากันเป็นครอบครัว นั่งทานอาหารมื้อเย็นกันอย่างอบอุ่น พ่อ แม่ ลูก ในระหว่างนั้น เอง คณะของเราใครบางคน ได้มองไปที่ฝ่ายเก็บน้ำ มองเห็นแสงไฟคล้ายแสงเทียน จึงร้องบอกว่า นั้นกระทงนี้ ใช้แล้วคับ วันนี้ "มันเป็นวันลอยกระทงนี่หว่า"ทำอย่างไรล่ะคับ งานนี้ ไม่ได้เตรียมตัวมาลอยกระทงด้วย อุปกรณ์ในการทำกระทง ก็ไม่มีอะไรเลย 

กระทง มะละกอ โดย กุ๊กไก่



แต่ด้วย ไอเดียอัีนบรรเจิด ของ กุ๊กไก่ ก็มองหาวัสดุรอบตัวเพื่อจะทำกระทง มะละกอที่จะมาทำส้มตำนี้ไงหันครึ่ง ทำเป็นเรือ ซะ มะนาวฝาน ทำเป็นใบไม้ มะเขือเทศทำเป็นดอกไม้ ธูปเทียน ก็ ขอข้างเต้นท์ สุดยอดครับ สวยไม่ซ้ำแบบใคร มีสไตล์ เป็นของตัวเองหลังจากทำกระทงเสร็จ คณะของเราทั้งหกคนก็ ลอยกระทง มะละกอ พร้อมกับขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากพระแม่คงคา ด้วยกัน

ถ่ายรูป หมูกับกวาง

กวางยังคงไม่ไปไหน และวนเวียน ให้คณะของเราถ่า่ยรูป กันอย่่างสนุกสนาน เหมือนมันรู้ หน้าที่ตัวเองเลย ว่า ต้องมาคอย รับแขก นักท่องเที่ยวที่มากางเต้นท์ บนเขาใหญ่
นังเดือน  กับท่า แบ๊วๆ ของกวางเขาใหญ่
กวางตัวนี้ โพสท์ท่าถ่ายรูป ได้แอ๊บแบ๊ว ไม่แพ้เด็กวัยรุ่นในบ้านเรา ที่ชอบแลบลิ้นเวลาถ่ายรูปกัน
กุ๊กไก่ เจิดจร้า ท่าแสงแดด
คืนหนาวที่เขาใหญ่
บรรยากาศยามเย็น
กุ๊กไก่, เชฟเปิ้ล, พรานมะเดี่ยว


 

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

คืนที่ห้า คืนที่สุดแสนเหน็บหนาวที่ห้วยน้ำดัง

หมอกห้วยน้ำดัง
หลังจากคณะเราชื่นชมบรรยากาศที่ ปาย จนค่อนข้างเย็นแล้ว คณะของเราก็ต้องรีบเดินทางต่อ โดยคืนนี้คณะของเราจะไป กางเต้นท์ ที่ ห้วยน้ำดัง ซึ่งไม่ห่างจากปายมากหนัก การเดินทางค่อนข้างลำบากเพราะเป็นทางขึ้นเขาบวกกับฝนที่ตกลงมาและอากาศก็เริ่มมืดและไม่ชำนาญทาง ระหว่างทางก็มีอุบัตเหตุรถยนต์ตกเขา คงเป็นเพราะทางลื่น ทำให้คณะของเราใจ แป่ว กันเล็กน้อยแต่คณะของเราก็ผ่านมาได้ด้วยดี ด้วย โชเฟอร์ ฝีมือระดับเทพยาดาฟ้าดิน พอคณะเรามาถึง ห้วยน้ำดัง ก็รีบจัดแจงกางเต้นท์ วันนี้ที่ลานกางเต้นท์อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ต้องวุ่นวายหาที่กางเต้นท์พอสมควร และต้องคำนวน ดินฟ้าอากาศ ทิศทางลม และหมอกที่จะขึ้นในยามเช้า หลังจากจัดแจงกางเต้นท์เสร็จจนได้ พวกเราก็จัดแจงทำเมนูอาหารเย็น นำเสนอโดยกะเหรี่ยงนำทาง เนอสเซอร์ เมนูค่ำวันนี้ มีสีสรร เพราะได้ กวางสามหมอก มาจากป่างอุ๋ง 2 ตัว กับอาหารหวานต้มถั่วแดงร้อนๆ
ทางไป ห้วยน้ำดัง

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมืองปาย เมืองที่มีมนต์สเน่ห์ในอดีต

สาวชาวบ้านที่ เมือง ปาย
ร้าน ขาย post card ชื่อว่า"ปาย บ่เปลี่ยน"
เมืองปายในอดีตส่วนใหญ่จะมีแต่นักท่องเป็นชาวต่างชาติ ที่ไปผักผ่อน เพื่อต้องการความสงบเงียบ และจะนอนอ่านหนังสือตามริมแม่น้ำปาย แต่ในปัจจุบัน ภาพเหล่านั้นเริ่มหายไป กลับกลายเป็นนักท่องเที่ยววัยรุ่น และนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นส่วนใหญ่ ปายในวันนี้ เต็มไปด้วยร้านค้า ขายของต่างๆมากมาย ในช่วงวันหยุดยาว ปาย เต็มไปด้วยรถ บางวันถึงขั้นรถติดกันเลย แต่สิ่งที่ผมคิดว่ามนต์สเน่ห์ของปายที่ผมชอบคือ ภาพบรรยากาศ ริมแม่น้ำปาย ที่ยังใสสะอาด สายน้ำไหลเอื่อยๆ รัดเลาะไปตาม โขดหิน ที่มีอยู่เต็มในแม่น้ำ และภาพหมอกในยามเช้าที่แม่น้ำปายกับอากาศหนาวๆ ช่วงปลายปี ช่างเป็นภาพที่สวยงามมาก และชาวบ้านที่นี้ ยังเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวทุกคน และสิ่งที่ประทับใจในการมาเที่ยว ปายครั้งนี้ก็คือร้านขาย post card ชื่อว่า ปาย บ่ เปลี่ยน คณะของเราได้มาเขียน post card กลับบ้านก็ร้านนี่แระ และ อัธยาศัย ของเจ้าของร้านนี้ดีมาก พูดจาไพเราะ ตามแบบหญิงชาวเหนือ ผมได้มีโอกาศไปเที่ยวปายเป็นครั้งที่สอง กะจะเดินไปร้านนี้อีก แต่คราวนี้หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าร้านนี้จะยังอยู่อีกหรือป่าว..

ผู้ติดตาม