หน้าเว็บ

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

ภูทับเบิก มองเห็นฟ้าเพียงดิน

หนาวนี้ ที่ ภูทับเบิก
 หลังจากที่วางจากการทำงาน มาทั้งปีเต็ม ก็ต้องถึงเวลาที่ต้องผักผ่อนกับบ้าง โดยคณะของเราเลือกที่จะไปกางเต้นท์กัน ที่ ภูทับเบิก จังหวัด เพชรบูรณ์ ช่วงที่คณะของเราไปนั้นตรงกับ เดือน มกราคม อากาศที่ ภูทับเบิก กำลังเย็นพอดี













วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ลอยกระทงที่เขาใหญ่

มะเดี่ยว กับ ยามเย็นที่เขาใหญ่

ผมได้มีโอกาศไปเที่ยวที่เขาใหญ่ในวันหยุดช่วงเทศกาล วันลอยกระทง มีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์ ที่เขาใหญ่เต็มพื้นที่ไปหมดค่อนข้างจะเบียดเสียด และตอนนี้ เขาใหญ่กำลังอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว คณะเราได้เลือกจุดกางเต้นท์บริเวณ จุดกางเต้นท์ ลำตะคอง คณะเราเลือกจุดกางเต้นท์ติดกับฝ่ายเก็บน้ำ น้ำในฝ่ายใสมาก มองเห็นปลาตัวเล็กๆว่ายไปมา

จุดกางเต้นท์ ลำตะคอง ริมฝ่าย
ธรรมชาติบริเวณจุดกางเต้นท์ ลำตะคอง ในยามเย็นช่างเป็นช่วงเวลาที่สวยงาม มองดูทิวน้ำที่ถูกลมพัดกระทบกับแสงจากดวงอาทิตย์เป็นปะกายระยิบไหลเป็นคลื่น เป็นระลอกเล็กๆ นั่งมองแล้วเพลินตามากและในระหว่างที่เรากำลังทำ อาหารมื้อค่ำอยู่นั้น
กวางเขาใหญ่มาขอข้าวกิน ที่ข้างจุดกางเต้นท์ ลำตะคอง

ก็มีกวางสองตัวขนาดใหญ่คิดว่าเท่ากับควาย เดินออกจากดงป่าข้างจุดกางเต้นท์ เข้ามาหาคณะเรา และหยุดมองพวกเราทำอาหารกัน ตื่นเต้นมาาก ที่ได้สัมผัสกวางตัวเป็นๆ ในระยะปะชิดสามเมตร ทำให้คณะเราผงะจากการสาระวนทำอาหารเย็น หันมาสนใจกับเจ้ากวางสองตัวนี้แทนและนักท่องเีที่ยวที่กางเต้นท์อยู่บริเวณนั้นต่างก็ตื่นเต้นมามุงดูกันเหมือนมี ละครสัตว์ที่เขาใหญ่กันเลย ทุุกคนในคณะของเราต่างก็วิ่งหากล้ิองมาถ่่ายรูปกัน ซึ่งทั้งคณะก็มีกล้องอยู่แค่ตัวเดียว   "มันคงมาขอข้าวเย็นกินมัง" คณะของเราลงความเห็นกัน และผมสังเกตุเห็น มีกวางอยู่ตัวหนึ่ง ที่คอมันเป็นแผลอักเสบ "ตามภาพ" เห็นแล้วสลดใจมาก ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร
กวางเขาใหญ่ คอเป็นแผล เพราะกินถุงพลาสติก

ด้วยความสงสัย ผมเลยเดินไปถาม ทางเจ้าหน้าที่ ของอุทยานแ่ห่งชาติ เขาใหญ่ จึงได้คำตอบมาว่า กวางที่เห็นนี้ เป็นกวางรับแขก เพราะมันจะมาขออาหารจากนักท่องเที่ยวกินเป็นประจำ ไม่ทำร้ายคน และกวางที่เห็นคอเป็นแผลนั้น เกิดจากที่มันไปกิน ถุงพลาสติค ที่มีนักท่องเที่ยวมักง่ายทิ้งเอาไว้ ทำให้คอมันอักเสบ เลยเกิดเป็นแผล เห็นแล้วน่าสงสาร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดในใจ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
ไก่ป่าย่าง เขาใหญ่ โดยพราน มะเดี่ยว
เมนูพิเศษของค่ำคืนในวันนี้ คือไก่ป่ายางรมควันดำๆ โดย "เชฟ เปิ้ล"  หลังจาก "พรานมะเดี่ยว ผู้ชำนาญการแกะรอยสัตว์ป่า"  เดินเข้าไปในพงหญ้าของอีกฟากจากจุดกางเต้นท์ได้พักใหญ่ ก็เดินกลับออกมาพร้อมกับ ไก่ป่า ตัวเขื่องหนึ่งตัว ก็ได้จัดแจงสั่งให้ เชฟ เปิ้ล ผู้ชำนาญในการ ย่าง ปิ้ง และ รมดำ รมควัน ดำเนินการต่อ และพรานมะเดี่ยวไม่ได้บอกถึงที่มาที่ไปของไก่ป่าตัวนี้ว่าได้มายังงัย ปล่อยให้ทุกคนมึนงงและคิดไปต่างๆนาๆ ถึงฝีมือระดับเทพในการแกะรอยไก่ป่า ของ พราน มะเดี่ยว
พราน มะเดี่ยว

เชฟ เปิ้ล กับอารมณ์ ชิว ชิว ข้างกองไฟ

หลังจัดการกับอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว คณะของเราก็นั่งสัมผัส กับบรรยากาศข้างกองไฟ ที่เขาใหญ่ เต็มไปด้วย ไฟจากตะเกียงสนามของนักท่องเที่ยวที่มากางเต้นท์กันอย่างเรียงราย มีเด็กวัยรุ่นนั่งเล่นกีต้าร์ร้องเพลงกันอย่างมีความสุข ส่วนคู่หนุ่มสาวก็พากันเดินเล่นไปในมุมมืดข้างฝ่ายน้ำ บางคนก็มากันเป็นครอบครัว นั่งทานอาหารมื้อเย็นกันอย่างอบอุ่น พ่อ แม่ ลูก ในระหว่างนั้น เอง คณะของเราใครบางคน ได้มองไปที่ฝ่ายเก็บน้ำ มองเห็นแสงไฟคล้ายแสงเทียน จึงร้องบอกว่า นั้นกระทงนี้ ใช้แล้วคับ วันนี้ "มันเป็นวันลอยกระทงนี่หว่า"ทำอย่างไรล่ะคับ งานนี้ ไม่ได้เตรียมตัวมาลอยกระทงด้วย อุปกรณ์ในการทำกระทง ก็ไม่มีอะไรเลย 

กระทง มะละกอ โดย กุ๊กไก่



แต่ด้วย ไอเดียอัีนบรรเจิด ของ กุ๊กไก่ ก็มองหาวัสดุรอบตัวเพื่อจะทำกระทง มะละกอที่จะมาทำส้มตำนี้ไงหันครึ่ง ทำเป็นเรือ ซะ มะนาวฝาน ทำเป็นใบไม้ มะเขือเทศทำเป็นดอกไม้ ธูปเทียน ก็ ขอข้างเต้นท์ สุดยอดครับ สวยไม่ซ้ำแบบใคร มีสไตล์ เป็นของตัวเองหลังจากทำกระทงเสร็จ คณะของเราทั้งหกคนก็ ลอยกระทง มะละกอ พร้อมกับขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากพระแม่คงคา ด้วยกัน

ถ่ายรูป หมูกับกวาง

กวางยังคงไม่ไปไหน และวนเวียน ให้คณะของเราถ่า่ยรูป กันอย่่างสนุกสนาน เหมือนมันรู้ หน้าที่ตัวเองเลย ว่า ต้องมาคอย รับแขก นักท่องเที่ยวที่มากางเต้นท์ บนเขาใหญ่
นังเดือน  กับท่า แบ๊วๆ ของกวางเขาใหญ่
กวางตัวนี้ โพสท์ท่าถ่ายรูป ได้แอ๊บแบ๊ว ไม่แพ้เด็กวัยรุ่นในบ้านเรา ที่ชอบแลบลิ้นเวลาถ่ายรูปกัน
กุ๊กไก่ เจิดจร้า ท่าแสงแดด
คืนหนาวที่เขาใหญ่
บรรยากาศยามเย็น
กุ๊กไก่, เชฟเปิ้ล, พรานมะเดี่ยว


 

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

คืนที่ห้า คืนที่สุดแสนเหน็บหนาวที่ห้วยน้ำดัง

หมอกห้วยน้ำดัง
หลังจากคณะเราชื่นชมบรรยากาศที่ ปาย จนค่อนข้างเย็นแล้ว คณะของเราก็ต้องรีบเดินทางต่อ โดยคืนนี้คณะของเราจะไป กางเต้นท์ ที่ ห้วยน้ำดัง ซึ่งไม่ห่างจากปายมากหนัก การเดินทางค่อนข้างลำบากเพราะเป็นทางขึ้นเขาบวกกับฝนที่ตกลงมาและอากาศก็เริ่มมืดและไม่ชำนาญทาง ระหว่างทางก็มีอุบัตเหตุรถยนต์ตกเขา คงเป็นเพราะทางลื่น ทำให้คณะของเราใจ แป่ว กันเล็กน้อยแต่คณะของเราก็ผ่านมาได้ด้วยดี ด้วย โชเฟอร์ ฝีมือระดับเทพยาดาฟ้าดิน พอคณะเรามาถึง ห้วยน้ำดัง ก็รีบจัดแจงกางเต้นท์ วันนี้ที่ลานกางเต้นท์อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ต้องวุ่นวายหาที่กางเต้นท์พอสมควร และต้องคำนวน ดินฟ้าอากาศ ทิศทางลม และหมอกที่จะขึ้นในยามเช้า หลังจากจัดแจงกางเต้นท์เสร็จจนได้ พวกเราก็จัดแจงทำเมนูอาหารเย็น นำเสนอโดยกะเหรี่ยงนำทาง เนอสเซอร์ เมนูค่ำวันนี้ มีสีสรร เพราะได้ กวางสามหมอก มาจากป่างอุ๋ง 2 ตัว กับอาหารหวานต้มถั่วแดงร้อนๆ
ทางไป ห้วยน้ำดัง

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมืองปาย เมืองที่มีมนต์สเน่ห์ในอดีต

สาวชาวบ้านที่ เมือง ปาย
ร้าน ขาย post card ชื่อว่า"ปาย บ่เปลี่ยน"
เมืองปายในอดีตส่วนใหญ่จะมีแต่นักท่องเป็นชาวต่างชาติ ที่ไปผักผ่อน เพื่อต้องการความสงบเงียบ และจะนอนอ่านหนังสือตามริมแม่น้ำปาย แต่ในปัจจุบัน ภาพเหล่านั้นเริ่มหายไป กลับกลายเป็นนักท่องเที่ยววัยรุ่น และนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นส่วนใหญ่ ปายในวันนี้ เต็มไปด้วยร้านค้า ขายของต่างๆมากมาย ในช่วงวันหยุดยาว ปาย เต็มไปด้วยรถ บางวันถึงขั้นรถติดกันเลย แต่สิ่งที่ผมคิดว่ามนต์สเน่ห์ของปายที่ผมชอบคือ ภาพบรรยากาศ ริมแม่น้ำปาย ที่ยังใสสะอาด สายน้ำไหลเอื่อยๆ รัดเลาะไปตาม โขดหิน ที่มีอยู่เต็มในแม่น้ำ และภาพหมอกในยามเช้าที่แม่น้ำปายกับอากาศหนาวๆ ช่วงปลายปี ช่างเป็นภาพที่สวยงามมาก และชาวบ้านที่นี้ ยังเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวทุกคน และสิ่งที่ประทับใจในการมาเที่ยว ปายครั้งนี้ก็คือร้านขาย post card ชื่อว่า ปาย บ่ เปลี่ยน คณะของเราได้มาเขียน post card กลับบ้านก็ร้านนี่แระ และ อัธยาศัย ของเจ้าของร้านนี้ดีมาก พูดจาไพเราะ ตามแบบหญิงชาวเหนือ ผมได้มีโอกาศไปเที่ยวปายเป็นครั้งที่สอง กะจะเดินไปร้านนี้อีก แต่คราวนี้หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าร้านนี้จะยังอยู่อีกหรือป่าว..

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คืนที่สี่ ปางอุ๋ง ดินแดนสุดแสนโรแมนติก

ปางอุ๋ง ดินแดนสุดแสนโรแมนติก
หลังจากคณะของเราชื่นชมความงามทะเลหมอกที่ ม่อนกิ่วลม จนเป็นเวลาค่อนข้างสายจึงออกเดินทางต่อ โดยคืนนี้ กะว่าจะไปกางเต็นท์ที่ ปางอุ๋ง "เพราะเพื่อนคนหนึ่งร่ำลือมาว่า ปางอุ๋ง เป็นที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากอยากให้มะเี่ดี่ยวได้ไป"  นี้เป็นเหตุผลหนึ่งในการอยากมาเที่ยวเหนือ เลยยกเลิกแผนการที่ตอนแรกว่าจะไป ภูกระดึง  การเดินทางในวันนี้ โชเฟอร์ โต้งเซอร์วิส จัดยาว จากอุทยานแห่งชาติ แม่เมยไป แม่ฮ่องสอนทางค่อน ข้างที่จะคดเคี้ยว ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและเป็นทางที่ ค่อนข้างจะเปลี่ยว ไม่ค่อยที่จะมีรถวิ่งสวนมา และบวกกับน้ำมันรถที่เหลือน้อย ตลอดทางที่ผ่านมาหาปั้มเติมน้ำมันไม่เจอ มีแต่หมู่บ้าน กะเหรี่ยง ( แนะนำเลยคับ ถ้าใครคิดที่จะใช้เส้นทางนี้ไปแม่ฮ่องสอน ควรที่จะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน ) คณะเรา ก็นั่งเกร็งนั่งลุ้น กันไปตลอดทางทำให้ บรรยากาศในรถเงียบมาก "ดีคับตื่นเต้นดี ผมชอบ"

และในที่สุดคณะเราก็หลุดออกมาได้ หลังจากเติมน้ำมันแล้ว ก็เลยแวะตลาดในหมู่บ้านซื้อ อาหารป่าและเครื่องดื่ม เตรียมงาน ปารตี้คืนนี้ที่ ปางอุ๋ง คณะของเราเดินทางถึง หมู่บ้านรักไทยประมาณ สามทุ่ม ซึ่งก่อนที่จะขึ้นไปพักที่ ปางอุ๋ง จะต้องขอบัตรที่ ศูนย์ศิลปาชีพแม่ฮ่องสอนก่อน (แต่ปัจจุบันนี้สามารถขอบัตรได้ที่ หมู่บ้านรักไทยได้เลย) แต่คณะเราของเรามาถึงเป็นเวลาค่ำ เลยขอไม่ทัน "ทำงัยดีล่ะ" หลังจากคณะเราปรึกษากันแล้วได้ข้อสรุปคือ "เป็นไงเป็นกัน ขึ้นไปให้ถึงก่อนอย่างอื่นว่ากันทีหลัง"เรียกว่าวัดดวงล่ะคับงานนี้ คิดในใจถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าเราก็จะตือขอเข้าให้ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ยอม จิง จิง เราก็จะกางเต้นท์ ตรงป้อมของเจ้าหน้าที่ซะเลย ( เป็นการกระทำที่ไม่ดีน่ะคับไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง ) ทางขึ้น ปางอุ๋ง ชันมากและทางแคบบวกกับความมืดและมีหมอกลงจัด

ทำให้คณะของเรา ต้องลุ้นระทึกอีกแล้วล่ะคับ จะกลับก็กลับไม่ได้เพราะไม่มีที่ให้กลับรถขับ ขึ้นเขาอย่างเดียว งานนี้โชเฟอร์ เหงือตกเลยคับ  ต้องใช้ สปอร์ตไลน์ ในรถเปิดส่องทางช่วยเพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย ( แนะนำคับ ถ้าใครคิดจะไปเที่ยวก่อนขึ้น ปางอุ๋ง ควรที่จะตรวจสอบสภาพรถให้ดีก่อน และถ้าไม่ ชำนาญทางไม่ควรเดินทางขึ้นไปในเวลากลางคืนอันตรายคับ )

และแล้ว คณะของเราก็มาถึงจนได้วันนี้นักท่องเที่ยวที่มากางเต้นท์ไม่มากเท่าไร และบวกกับคำอธิบายของคณะเราเจ้าหน้าที่เลยใจอ่อนยอมให้เราเข้าไปกางเต้นท์ได้ เมื่อคณะของเราเลือกทำเลกางเต้นท์ได้แล้ว ก็จัดแจงข้นสัมภาระ เตรียมทำอาหารมื้อค่ำกัน ตอนนี้บรรยากาศที่ ปางอุ๋ง มืดมองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่แสงจากตะเกียงสนามของเต้นท์ข้างๆ เท่านั้นที่สร้างบรรยากาศในยาม ค่ำคืน อันแสนจะหนาวเหน็บ หลังจากทานอาหารมือค่ำเสร็จแล้วคณะของเราก็ขอตัวมุดเต้นท์เข้านอนกัน เพราะเหนื่อยกับการเดินทางอันแสนจะทรหดในวันนี้.

เตรียมทำอาหารเช้า ที่ปางอุ๋ง โดย กะเหรี่ยง เนอส
อาหารเช้าที่ ปางอุ๋ง ฝีมือกะเหรี่ยง เนอส แซ่บมากคับ บังฟา คอนเฟิร์ม
บรรยากาศยามเช้าที่ ปางอุ๋ง แกล้มกับ เบียร์
คณะของเราตื่นขึ้นมาก็แสนจะตลึงกับบรรยากาศยามเช้าที่ปางอุ๋ง สมคำร่ำลือ จิงจิง เกินกว่าที่จะเขียนเป็นตัวอักษรได้ ดูภาพกันเอาเองคับ ลักษณะพื้นที่ของปางอุ๋ง จะเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อยู่บนยอดเขาสูง ริมอ่างเก็บน้ำจะเป็นแนวสนที่ปลูกเรียงรายอย่างกลมกลืน และในยามพระอาทิตย์ขึ้น แสงจากพระอาทิตย์จะสะท้อนผืนน้ำเป็นลำแสงสีทองส่องผ่านแนวต้นสนสีเขียวขจีพร้อมกับหมอกในยามเช้า งดงามมากคับเหมือนอยู่ในดินแดน เทพนิยาย และโดยส่วนตัวผมคิดว่า ปางอุ๋ง เป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในเมืองไทย
ไอหมอกที่ลอยขึ้นจากทะเลสาบและแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์

แพไม้ไผ่ บริการจากชาวบ้านในหมู่บ้าน รักไทย
ถ้าใครไปเที่ยว ปางอุ๋ง จะต้องเจอกับเจ้าห่านตัวนี้
ภาพถ่ายจากแพไม้ไผ่ในทะเลสาบ ปางอุ๋ง
ทิวสนที่ปลูกไว้อย่าง กลมกลืน ข้างทะสาบ ปางอุ๋ง

ทิวสนที่ปลูกเรียงรายเมื่อมีลมพัดผ่านจะเกิดเสียงของ ธรรมชาติที่ไพเราะมาก  คณะของเราเลยนอนฟัง เสียงของ สนต้องลม อยู่นานสองนาน จนไม่อยากที่จะเดินทางไปไหนต่อ

น้องแก้ม นางแบบน้อยๆ ที่ปางอุ๋ง

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คืนที่สามดอย ม่อนกิ่วลม แหล่งท่องเที่ยวระดับ unseen thailand

 
ทะเลหมอก ที่ ม่อนกิ่วลม
ตระการตามากเลยคับ มองเห็นทะเลหมอกเป็นทิวกว้าง
 
ยามเช้าที่ ม่อนกิ่วลม
หลังจากที่เต็มอิ่มกับบรรยากาศและ อาหารมื้อเช้า ที่ อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ พวกเราก็วางแผนการเดินทางกะจะไปให้ถึง แม่ฮ่องสอน ให้ได้ในวันนี้ หลังจากโชเฟอร์ "โต้งชายผู้หลงไหลความโรแมนติก" ได้ผักผ่อนเต็มที่ คณะเราเดินทางออกจาก อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ ค่อนข้างสายเพราะเมื่อคืนคณะเราเมากันเต็มที่ ไม่มีใครปลุกใคร จึงทำให้การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างล่าช้า ระหว่างการเดินทาง คณะของเราก็แวะ กันเรื่อยเปื่อย บวกกับเส้นทางที่ขับค่อนข้างลำบาก (โชเฟอร์ว่าอย่างนั้น) ทำให้คณะเราไปไม่ถึงไหนเลยในวันนี้ ผิดแผนอีกล่ะคับ หลังออกจากถ้ำแม่ อุสุ ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว คณะเราจึงต้องรีบหาที่พัก พอกลางแผนที่ดู ก็ไปเจอแหล่งท่องเที่ยวระดับ unssen อีกทีหนึงของ จังหวัดตากซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถ้ำแม่ อุสุ ก็คือ ม่อนกิ่วลม ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติ แม่เมย คณะของเราเลยตัดสินใจไปพักที่นั้นกัน เื่พื่อรอชมทะเลหมอกในยามเช้า
กางเต้นท์ ที่ม่อนกิ่วลม 
ขออภัยน่ะคับ พรีเซ็นเตอร์ ในภาพใสกางเกงขาสั้นถ่ายรูป เหตุเพราะเรือล่ม ที่ถ้ำ แม่อุสุ
คณะเราเลือกที่กางเต้นท์บนยอดดอย ม่อนกิ่วลม เพื่อที่่ว่า เปิดเต้นท์มาจะได้ชมบรรยากาศทะเลหมอกในยามเช้า ได้เลย

บังฟากับยามเย็นที่ดอย ม่อนกิ่วลม


งานปาร์ตี้คืนนี้ที่ดอย ม่อนกิ่วลม
โต้งเซอร์วิส กับภาพตัวลอยระดับเทพที่ ม่อนกิ่วลม
ภาพตัวลอย พยายามอยู่หลายครั้งแต่ติดที่น้ำหนักคับเลยทำได้แค่นี้
กะเหรี่ยงเนอส กับภาพถ่ายที่คิดว่าหล่อสุด ใน ทิป นี้
ม่อนพูนสุดา เป็นจุดชมวิว อีกที่หนึ่งในอุทยานแห่งชาติ แม่เมย จะอยู่ต่ำกว่า ม่อนกิ่วลม

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มะเดี่ยวกับคืนที่สองที่อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ

 
อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ
คืนที่สาม ที่อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ เราออกเดินทางจากจังหวัดตากแวะกันไปเรื่อยเปื่อย ถึง แม่สอดก็เย็นพอดี เลยต้องหาที่กางเต้นท์ กลางแผนที่ดูว่าพอจะพักที่ไหนได้บ้าง เห็นในแผนที่ใก้ลกับแม่สอดไปอีกไม่ไกล ก็จะเจอ อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ พวกเราเลยแวะซื้ออาหารแถวข้างทางที่ชาวบ้านนำมาขาย เพื่อไว้มื้อค่ำ ที่อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ โดยกะเหรี่ยงเนอส หรือ เนอสเซอร์วิส เป็นคนออกไอเดีย เมนูของค่ำคืนนี้ ชาวบ้านแถบนี้ขายของได้ถูกมากราคาไม่แพงเหมือนในเมือง
บริเวณที่กางเต้นท์อุทยานแห่งชาติ ขุนพะวอ
โต้งชายผู้โคตรโรเมนติก นอนมองแสงตะเกียงท่ามกลางหมู่ดาว"สังเกตุตาคับ"
ที่ขุนพะวอ เจ้าหน้าที่อุทยานก็บริการน่าประทับใจคับ พาไปจุดกลางเต้น และแนะนำแหล่งท่องเที่ยวของที่นี้ให้ฟัง แบบเป็นกันเอง แต่วันที่คณะของเราไปกางเต้นท์มีผู้คนมาเที่ยวน้อยเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด บรรยากาศเลยดูสงบ และเป็นส่วนตัวมากและมองไปที่ท้องฟ้าอันดำสนิท ประดับไปด้วยแสงสีเงินจากดวงดาว ทำให้พวกเราตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานมาก ช่างเป็นคืนที่สวยงามจิง จิง พวกเราเลย บรรเลงเพลง กล่อมไพรกันอย่างเต็มที่
กะเหรี่ยงเนอส ฟัดกีตาร์แบบลืมตาย
กะเหรี่ยงเนอส กับ โต้งเซอร์วิส กำลังแต่งกลอนสดๆ ประชันกัน
หลังจากที่เต็มอิ่มกับบรรยากาศและ อาหารมื้อเช้า ที่ อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ พวกเราก็วางแผนการเดินทางกะจะไปให้ถึง แม่ฮ่องสอน ให้ได้ในวันนี้ หลังจากโชเฟอร์ "โต้งชายผู้หลงไหลความโรแมนติก" ได้ผักผ่อนเต็มที่ คณะเราเดินทางออกจาก อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ ค่อนข้างสายเพราะเมื่อคืนคณะเราเมากันเต็มที่ ไม่มีใครปลุกใคร จึงทำให้การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างล่าช้า ระหว่างการเดินทาง คณะของเราก็แวะ กันเรื่อยเปื่อย จนมาถึง แหล่งท่องเที่ยวระดับ unseen ของจังหวัดตากอีกที่หนึ่ง คือ ถ้ำแม่อุสุ
ภายในถ้ำแม่อุสุ

ภายในถ้ำ มีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม เวลากลางวัน แสงอาทิตย์จะส่องผ่านปล่องถ้ำลงมากระทบหินทราย เกิดประกายแวววาว ทำให้คณะเรา ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากสมกับเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวระดับ unseen จิง จิง
ปากถ้ำแม่อุสุ
เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำสักพักแล้ว หันกลับมาดูทางเข้าถ้ำจะเห็นลำห้วยที่ไหลคดเคี้ยวออกจากถ้ำที่มืดไหลไปสู่ปาก ถ้ำที่สว่าง และบริเวณด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวสวยงาม
สภาพหลังออกจากถ้ำแม่อุสุ

การเดินทางเข้าไปภายในถ้ำ ก็มีให้เลือกน่ะคับว่า จะนั่งเรือเข้าไป หรือ เดินเท้าลุยน้ำเข้าไป คณะเราขอเลือกเป็นเรือดีกว่าเพราะว่ากลัวจะเปียกน้ำ เมื่อว่าจ้างเรือตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ได้นำเรือ มาสองลำ เพราะถ้าลำเดียวเกรงว่าจะรับน้ำหนัีกไม่ไหว พอคณะเราลงเรือก็จะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นเด็กจากหมู่บ้านในพื้นที่ น่าจะมารับจ๊อบพิเศษ เป็นผู้ ดันเืรือ ไม่ใช้พายน่ะคับ ดัน เพราะระดับน้ำไม่ลึกมาก ข้างหน้าหนึ่งคน ข้างหลังอีก หนึ่งคน ดันเรือเข้าไปภายในถ้ำ เหมือกดขี่แรงงานเด็กเลย พอเรือเข้าไปถึงภายในถ้ำ ก็จะมีเจ้าหน้าที่มัคคุเทศก์น้อย เป็นผู้นำทางเข้าไปภายในถ้ำอีกที ทำงานกันเป็นระบบเลยแถมฟรีอีกต่างหาก

แสงจาำกภายนอกถ้ำส่องเข้าภายในถ้ำ แม่อุสุ

หลังจากเพลิดเพลินกับความสวยงามอลังกาล ภายในถ้ำ แม่อุสุ แล้วคณะเราก็เวลาต้องเดินทางกลับ ซึ่งในขากลับ ปรากฎว่า มีเรือเหลืออยู่ลำเดียว แล้วอีกลำไปไหนล่ะ งานเข้าแล้วเรา มัคคุเทศก์น้อยๆ ก็รีบบอกมาว่า ไม่เป็นไรพี่ นั่งเรือลำเดียวไปทั้งหมดสี่คนเลยก็ได้ ไม่เป็นไรหลอก คณะเราก็มองหน้ากัน เอาอย่างไรกันดี ไหนไหน ก็ ไหนไหน ว่างัยก็ว่ากัน น้องบอกว่าได้ก็ได้ ผลปรากฎว่า เรือโดนลากออกไปสักพัก พอถึงจุดที่ระดับน้ำค่อนข้างลึก เรือรับน้ำหนักไม่ไหว ก็ล่มซิคับ หมดเลยคับ กล้องถ่ายรูป มือถือ แผนที่ กระเป๋าตังค์ อีก 9ล9 เลยคับ เปียกหมด ตูไม่น่าเชื่อมันเลยไอ้มัคคุเทศก์น้อยๆ

ตกน้ำที่ถ้ำ แม่อุสุ โดย บังฟา

ผู้ติดตาม